BMW E34 DIY Do it yourself by Assoc.Prof. Boonchat Netisak.
Faculty of Industrial Technology, Lampang Rajabhat University, THAILAND.

ผ้าเบรก e34 : การตรวจและเปลี่ยน
E34 Brake Pads : Check & Replace.
l โดย รองศาสตราจารย์บุญชัด เนติศักดิ์ l MAIN MENU l

   ระบบเบรกและผ้าเบรก ของ BMW E34

  • ระบบเบรกของรถ BMW E34 5-series ถือว่าเป็นระบบเบรกที่มาตรฐาน แต่จะไม่กล่าวอ้างว่าดีกว่าหลายยี่ห้อหรือหลายรุ่น ระบบเบรกของ E34 ใช้เพาเวอร์ดิสก์เบรก 4 ล้อ จานเบรกหน้ามีช่องระบายความร้อน มีระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) แบบใช้เซนเซอร์ 4 ล้อ เบรกมือเป็นดรัมเบรกซ่อนอยู่ในแกนของจานดิสก์ที่ล้อหลังทั้งซ้าย-ขวา การที่ใช้ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อทำให้การเบรกมั่นใจและการบำรุงรักษาง่ายกว่าดรัมเบรก ข้อพิจารณาของผมที่สำคัญในการเลือกรถ คือ ชอบที่จะเลือกรถยนต์รุ่นที่ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ซึ่งเมื่อมองดูลึกๆ ลอดกะทะล้อแม็กเข้าไป จะเห็นโครงสร้างทางวิศวกรรมของจานดิสก์เบรกที่สวยงาม เป็นความชอบส่วนตัวนะครับ

  • สมรรถนะของเบรกจะขึ้นกับ 3 ส่วน คือ

    1. ระดับและสภาพของน้ำมันเบรกและท่อเบรก
    2. ระบบที่จะสร้างแรงดันในน้ำมันไฮดรอลิคไปกดบนผ้าเบรกซึ่งได้แก่ แรงที่เหยียบเบรก หม้อลม แม่ปั๊มเบรก และกระบอกสูบที่เบรกแต่ละล้อ
    3. ความฝืดของผ้าเบรก ขนาดผ้าเบรก และจานเบรก

      ถ้าทั้ง 3 ส่วนนี้ มีส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่อง ไม่สมบูรณ์จะทำให้เบรกมีปัญหา อาจทำให้ไม่ปลอดภัย เบรกไม่อยู่ หรือเกิดอุบัติเหตุได้

  • ผ้าเบรก (Brake Pads) ความจริงรูปร่างไม่เหมือนผ้า และผมก็มองไม่เห็นว่ามีส่วนประกอบของผ้า แต่ก็เรียกกันมาแบบนี้เป็นที่เข้าใจกัน จริงๆ แล้วผ้าเบรกที่ใช้กับดิสก์เบรกจะเป็นแผ่นเหล็กหนาๆ ที่ด้านหนึ่งติดไว้ด้วยวัสดุสร้างความฝืดที่ทนความร้อนได้ อาจเป็นส่วนประกอบของใยหินซึ่งเมื่อเสียดสีจะเกิดฝุ่นที่เป็นอันตราย ผ้าเบรกในระยะหลังๆ ผู้ผลิตเขาจะคุยว่า เขาไม่ใช้ใยหิน เขาใช้อย่างอื่นแทน ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า ถึงแม้จะจริง ก็อย่าเชื่อมาก ยังไงๆ ก็ควรหลีกเลี่ยง อย่าให้ฝุ่นเข้าปากเข้าจมูกของเราเป็นดีที่สุด ... นะครับ

  • ผ้าเบรกที่ดี ต้องจับและสร้างความฝืดกับจานเบรกได้ดี ไม่ลื่น ไม่ไหม้เมื่อเกิดความร้อน แต่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือใช้ไปนานเข้าๆ ผ้าเบรกจะสึก บางลงเรื่อยๆ จะต้องเปลี่ยนใหม่ เราต้องหมั่นตรวจ (ให้ช่างตรวจก็ได้) อย่าเผลอลืมจนผ้าเบรกหมดเหลือแต่แผ่นเหล็กไปสีจานเบรกจะยุ่งกันไปใหญ่ โดยปกติถ้าแผ่นผ้าเบรกสึกเหลือประมาณ 2 มิล ก็ควรจะเปลี่ยนได้

  • ระบบเบรกของ BMW E34 อำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่ได้ทราบเวลาที่ควรจะต้องไปเปลี่ยนผ้าเบรก โดยการใส่เซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึกไว้ที่แผ่นผ้าเบรกของล้อหน้าด้านซ้าย และที่แผ่นผ้าเบรกของล้อหลังด้านขวา เมื่อผ้าเบรกสึกมากถึงเวลาที่ควรจะเปลี่ยน เซนเซอร์นี้จะส่งสัญญาณผ้าเบรกหมดเตือนผู้ขับขี่รถ โดยให้ไฟติดบนหน้าปัดด้วยคำว่า BRAKE LININGS เจ้าของผู้ขับขี่ควรไปเปลี่ยนผ้าเบรกโดยด่วน ... อย่าดื้อ นะครับ เสียน้อยดีกว่านะครับ จะได้ไม่บาน ...

  • เพจนี้เป็นข้อมูลและวิธีการเปลี่ยนผ้าเบรกที่ท่านผู้สนใจจะสามารถนำไปพิจารณาเพื่อการเปลี่ยนผ้าเบรกรถของท่านได้ ลองติดตามดูนะครับ ... ไม่ยาก

No problem, We can do, Please continue ............ this DIY.
[upLoad on 28/02/2009]




    ดู ... เบรกหน้าด้านซ้าย

  • ประกอบด้วยจานดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน และคาลิเปอร์ดิสก์เบรก
  • ในคาลิเปอร์มีกระบอกสูบ 1 ลูก ที่จะคอยดันผ้าเบรกให้หนีบสองข้างของจานดิสก์เบรก
  • จานดิสก์เบรก อาจเรียกว่า โรเตอร์ (Rotor)
  • ภาพนี้ เป็นเบรกหน้าด้านขวา
  • ผ้าเบรกเป็นตัวสร้างความฝืดให้จานดิสก์เบรกหมุนช้าลงและหยุดหมุน
  • การเสียดสีกันนานๆ ทั้งจานดิสก์และผ้าเบรกจะสึกทั้งคู่
  • แต่ผ้าเบรกจะสึกเร็วกว่า ถ้าบางน้อยกว่า 2 ม.ม. ควรเปลี่ยนใหม่
  • ตอนที่ผ้าเบรกสึกและผ้าเบรกบางได้ที่ มันจะทำให้เซนเซอร์สึกด้วย แล้วส่งสัญญาณการสึกของผ้าเบรกไปแสดงที่หน้าปัด BRAKE LININGS เป็นตัวเตือนผู้ขับขี่ให้รับทราบ

    ลองตรวจดูผ้าเบรกแต่ละล้อนะครับ ว่าบางกว่า 2 มิลหรือยัง

    [Click เพื่อขยายภาพ]

   การตัดสินใจ ... เปลี่ยนผ้าเบรก

  • โดยทั่วไปในการใช้รถยนต์ เราจะต้องใช้เบรกตั้งแต่สตาร์ตรถ เข้าเกียร์ ชะลอ และหยุดรถ ถ้าเบรกอยู่ดี เราก็มักไม่ได้ดูอะไรเพิ่มเติม อย่างดีก็แค่ตรวจระดับน้ำมันเบรก ถ้าระดับต่ำเราก็เติมเพิ่มเข้า การจะไปตรวจผ้าเบรกที่ล้อก็เป็นการลำบากเพราะมองไม่ค่อยจะเห็น จะรู้ว่าผ้าเบรกสึกและถึงเวลาเปลี่ยนก็ตอนที่มีสัญญาณเตือน BRAKE LININGS ที่หน้าปัด

  • กรณีของผมยังไม่มีสัญญาณเตือน บังเอิญว่าไปให้อู่เขาถ่วงล้อ ก็ถ่วงหมดทั้ง 4 ล้อ ตอนที่ช่างเขาถอดล้อออกไปถ่วง จะมีช่างอีกคนหนึ่งเขาก็เดินมาดูเพื่อหางาน เขาก็บอกว่าผ้าเบรกบางมากแล้วนะครับ จะเปลี่ยนไปเลยไหม เพราะไหนๆ ก็ถอดล้อออกมาแล้ว ผมก็ดูผ้าเบรกมันยังหนาพอใช้งานได้ ลองสอบถามเขาเรื่องยี่ห้อผ้าเบรกและราคาค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นข้อมูล สรุปว่าวันนั้นผมยังไม่เปลี่ยน

  • หลังจากนั้นผมก็เตรียมการที่จะเปลี่ยนผ้าเบรก โดยการหาข้อมูลว่าจะใช้ยี่ห้ออะไร และต้องตอบคำถามอย่างมีเหตุผลว่าทำไมต้องใช้ยี่ห้อนั้น เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยจะลองผิดลองถูกคงไม่เหมาะ ผมได้ซื้ออะไหล่ผ้าเบรกใหม่ที่ร้านขายอะไหล่หลังวัดฯ มาเตรียมไว้ 2 กล่อง สำหรับเบรกหน้า 1 กล่อง และเบรกหลัง 1 กล่อง (1 กล่อง มีผ้าเบรก 4 ชิ้น)

  • ซื้ออะไหล่มาแล้วก็ลีลาอยู่นานพอสมควร กว่าจะลงมือก็ร่วม 2 เดือน ตอนที่ตัดสินใจเปลี่ยนผ้าเบรกก็ไม่มีอะไร อะไหล่พร้อม รถว่างไม่ได้ใช้งาน ร่างกายพร้อม เครื่องมือพร้อม และใจพร้อม ยอมที่จะให้มือสกปรก ... เลอะ ตัดสินใจ .... ลุย

   เปลี่ยนผ้าเบรกด้วยตัวเอง ... ยากแค่ไหน และใช้เวลา ... นานไหม
  • งานนี้ผมว่าไม่ยาก แต่เป็นงานหนัก เพราะต้องถอดล้อและหมุนน๊อตใช้แรงเยอะหน่อย ตอนเอาล้อออกและใส่กลับยกหนักหลายกิโล
  • อีกทั้งชิ้นส่วนเบรกจะสกปรก เต็มไปด้วยฝุ่น ก็ต้องทำใจยอมรับว่าต้องเลอะมืออย่างแน่นอน
  • มือสมัครเล่น มีเครื่องมือไม่ครบ แม่แรงมีตัวเดียว ทำทีละล้อ 4 ครั้ง ทำคนเดียวแบบสบายๆ ก็ประมาณครึ่งวัน ... ครับ


ศึกษาส่วนประกอบของ ... ผ้าเบรก



    โปรดดูภาพด้านขวา

  • นี่แหละ ... เขาคือ รูปร่างจริงของผ้าเบรก ใหม่ซิงๆ
  • แผ่นเหล็กรูปร่างเหมือนหัวไก่ ... หรือไม่ก็หัวแพะ คางแพะ ( ... ผมว่าคนเดียว)
  • เบรก 1 ล้อ ใช้แผ่นผ้าเบรก 2 ชิ้น
  • ชิ้นแรกที่ด้านหลังมีโลหะสปริง 3 แง่งติดอยู่ ตรงกลางมีร่องบากไว้สำหรับใส่เซนเซอร์
  • ชิ้นที่สองด้านหลังเรียบไม่มีอะไร

   เตรียมอะไหล่
    แผ่นผ้าเบรกใหม่

  • จัดเตรียมแผ่นผ้าเบรกใหม่ของ E34
  • เบรกหน้า 2 คู่ เบรกหลัง 2 คู่
  • ดูให้เหมือนของเดิม ขนาดเท่าเดิม กว้าง หนา ยาว (ด้านหลังมีโลหะสปริง 3 แง่ง ก็ดูด้วย ... สำคัญ) และดูหัวแพะ คางแพะ เท่ากัน
  • ความจริงดูเบอร์อะไหล่ก็ได้ หรือดูข้างกล่อง หรือตามที่คนขายเขาเอาให้ก็ได้

  • ผมใช้ยี่ห้อ Ate ทั้งหน้า และหลัง
  • หน้าเบอร์ 7851 หลังเบอร์ 7853

  • เหตุผลที่ใช้ Ate คือ
    1. เหมือนของเดิม
    2. ฝรั่งเยอรมันเขาวิจัยไว้แล้วว่าอ่อนแข็งพอดีกับจานดิสก์
    3. เคยใช้ เห็นสรรพคุณแล้ว เบรกอยู่ดี และ
    4. ราคารับได้
  • เปิดกล่องมาวางเรียงถ่ายรูป
  • 4 ชิ้นซ้ายมือ ขนาดเล็กหน่อย สำหรับเบรกหลัง
  • 4 ชิ้นขวามือ ขนาดเล็กโตกว่า สำหรับเบรกหน้า
  • แต่ทั้งเบรกหน้า และเบรกหลัง ล้วนมี หัวแพะ คางแพะ หรือหัวไก่ เหมือนกัน

   เตรียมเครื่องมือ

  1. แปรงทองเหลือง สำหรับแปรงขัดฝุ่นบนคาลิเปอร์เบรก
  2. แปรงสีฟัน สำหรับแปรงขัดฝุ่นทั่วไปตามซอก ที่ยางกันฝุน และเซนเซอร์
  3. ไขควงปากแบน 1 ตัว ขนาดกลาง สำหรับงัดเซนเซอร์ออก
  4. ไขควงปากแบน 1 ตัว ขนาดใหญ่ สำหรับงัดเหล็กสปริงล็อกกันผ้าเบรกสั่นออก
  5. ประแจแหวนหรือปากตาย 13 ม.ม.
  6. ประแจแอลหกเหลี่ยม 7 ม.ม. สำหรับถอด-ขันน๊อตยึดชุดคาลิเปอร์เบรก Guide Bolts (*** ตัวนี้สำคัญมาก ถ้าไม่มีทำงานนี้ไม่ได้ ผมซื้อมาต่างหาก 1 ตัว ในชุดประแจทั่วๆ ไปมักไม่ค่อยมีเบอร์นี้)
  7. ตัวดันกระบอกสูบดิสก์เบรกกลับ ถ้าไม่มีสามารถใช้คีมปากกว้างหรือท่อนไม้ดันก็ได้
  8. ท่อโลหะทำเป็นด้ามต่อประแจแอล
  9. กระบอกฉีดยา สำหรับดูดน้ำมันเบรกออกจากกระปุกเติมน้ำมัน ไม่ให้ล้นออกตอนที่ดันกระบอกสูบดิสก์เบรกถอยกลับ
  10. หน้ากากปิดจมูก-ปาก กันฝุ่นเข้าจมูก-ปาก

หมายเหตุ ........
  • งานนี้เพื่อความปลอดภัย ต้องขึ้นแม่แรง ค้ำรองรับรถให้แข็งแรงมั่นคง โยกเขย่ารถดูให้ชัวส์
  • ที่เบรกจะมีฝุ่นและความสกปรกมาก ควรสวมถุงมือผ้า และระมัดระวังฝุ่นเข้าจมูก-ปากด้วย ... นะครับ


  • ขั้นตอน การถอด-ใส่ผ้าเบรก
  • ภาพนี้เป็นเบรกหน้า ด้านซ้าย
  • ถอดจุกยางที่อุดหัวน๊อตยึดคาลิเปอร์ อยู่ด้านใน มี 2 ตัว
  • เครื่องมือที่สำคัญที่ใช้ถอดน๊อตก็คือประแจแอล 7 ม.ม. และท่อโลหะทำเป็นด้ามต่อ
  • ถ้าประแจแอลตัวยาว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ท่อโลหะทำเป็นด้ามต่อ ของผมมีตัวสั้นจึงต้องผ่อนแรง

    (ตอนขันน๊อตเข้า ไม่จำเป็นต้องต่อด้าม)
  • ใช้ประแจแอลและด้ามต่อหมุนถอดน๊อตยึดคาลิเปอร์ตัวบน
  • ถอดจุกยางที่อุดหัวน๊อตยึดคาลิเปอร์ ตัวล่าง
  • ถอดน๊อตยึดคาลิเปอร์ตัวล่าง
  • ถอดสปริงล็อกกันผ้าเบรกสั่น โดยใช้ไขควงปากแบนงัดออก ใช้มือช่วยกดประคองไม่ให้มันเด้งกระเด็นออก
  • สปริงล็อกกันผ้าเบรกสั่นที่ถอดออกแล้ว
  • ที่แผ่นผ้าเบรกหน้าซ้ายจะมีเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก ที่เห็นสายไฟสีดำ
  • ถอดปลั๊กเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก
  • ค่อยๆ ขยับตัวคาลิเปอร์ แล้วดึงออกมาพร้อมแผ่นผ้าเบรก
  • ใช้ลวดมัดโยงไว้ (ไม่ควรปล่อยให้ห้อยโดยสายอ่อนเบรก)

    หมายเหตุ ....
    ตรวจดูที่คาลิเปอร์ รอบๆ กระบอกสูบดิสก์เบรก ควรแห้ง ถ้ามีฝุ่นผสมน้ำมันเปียกเยิ้ม หมายถึงมีน้ำมันเบรกรั่ว ตัวที่เสียคือยางโอริงที่ตัวกระบอกสูบดิสก์เบรก หรือผนังเป็นสนิม เป็นตามด ประมาณนี้ ต้องตรวจซ่อมตรงนี้ก่อนจึงจะใส่ผ้าเบรก
  • ผ้าเบรกที่ถอดออก มี 2 ชิ้น
  • ผ้าเบรกชิ้นใน (บน) มีตัวเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก ติดตั้งอยู่
  • ของผมเปลี่ยนตอนที่ผ้าเบรกยังสึกไม่ถึงเซนเซอร์
  • สภาพของตัวเซนเซอร์ยังดี สมบูรณ์ ยังใช้ได้ (เปลี่ยนขณะไม่มีสัญญาณไฟเตือนบนหน้าปัด)
  • ถ้าผ้าเบรกสึกมากจนมีไฟเตือนที่หน้าปัด ตัวเซนเซอร์ต้องใช้ตัวใหม่
  • เอาไขควงปากแบนแงะตัวเซนเซอร์ตัวเก่าออก
  • ค่อย ๆ แงะ ระมัดระวัง จะเอาเซนเซอร์นี้ไปใส่กับผ้าเบรกใหม่
  • ทำความสะอาดตัวเซนเซอร์ ใช้แปรงสีฟันขัด อย่างระมัดระวัง
  • ทำความสะอาดสายไฟ และปลั๊กของเซนเซอร์
  • ติดตั้งเซนเซอร์เข้ากับแผ่นผ้าเบรกอันใหม่ (ผ้าเบรกอันที่มีโลหะสปริง 3 แง่งที่ด้านหลัง)
  • ดันกระบอกสูบดิสก์เบรกเข้าให้มิด
  • ผมใช้เกลียวช่วยผ่อนแรง หมุนดันเข้า
  • อาจใช้ท่อนไม้ ดัน งัดกับคาลิเปอร์ให้มันถอยเข้าไปก็ได้

    หมายเหตุ ....
  • ตอนที่ดันกระบอกสูบดิสก์เบรกถอยกลับ จะทำให้น้ำมันเบรกถูกดันกลับเข้าไปในกระปุกเติมน้ำมันเบรก เราต้องไปดูที่กระปุกเติมน้ำมันเบรกว่าน้ำมันล้นไหม ถ้าจวนจะล้นให้เอากระบอกฉีดยาดูดออก
  • ถ้าดันกระบอกสูบดิสก์เบรกถอยกลับไม่ได้ หมายถึงเบรกตาย ผนังกระบอกสูบดิสก์เบรกเป็นสนิม ต้องตรวจซ่อมแก้ไขให้กระบอกสูบเคลื่อนที่เข้าออกได้
  • ทำความสะอาดตัวคาลิเปอร์ทั้งนอก-ใน ใช้แปรงขัด ระวังฝุ่นอันตราย
  • นำแผ่นผ้าเบรกใหม่ อันที่มีโลหะสปริง 3 แง่งที่ด้านหลังมาใส่เข้าไปตรงกระบอกสูบเบรก
    (ด้านซ้ายมีตัวเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก ให้เอาสายไฟลอดออกไว้ด้านหลังคาลิเปอร์)
  • กดแผ่นผ้าเบรกเข้าไปให้แน่นชิดปากกระบอกสูบเบรก
  • แผ่นผ้าเบรกใหม่อีกแผ่น นำมาใส่ที่ด้านนอกของโรเตอร์จานเบรก
  • ดูเหล็ก คางแพะ หัวท้าย 2 ข้าง ให้เข้าร่อง
  • นำคาลิเปอร์ที่ติดผ้าเบรกเรียบร้อยแล้วมาใส่กับตัวยึด
  • ค่อยๆ ขยับ ดันเข้า ดูน๊อตยึดให้ตรงรู
  • ใช้มือหมุนน๊อตเข้าจนเกือบสุด
  • ใช้ประแจแอลขันน๊อตยึดคาลิเปอร์ทั้ง 2 ตัวจนแน่น

    (ตอนขันเข้า อย่าต่อด้ามยาวมาก ระวังน๊อตขาด
    ถ้าไม่ต่อด้าม ใช้เฉพาะประแจตัวสั้น ขันสุดแรงก็ได้
    ถ้ามีประแจปอนด์ ใช้ 26 ft-lb)

  • ปิดจุกยางกันฝุ่นที่หัวน๊อต
  • ใส่เหล็กสปริงกันผ้าเบรกสั่น
  • เสียบสายเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก

    การเปลี่ยนผ้าเบรกที่ล้อหน้าขวา ทำเช่นเดียวกัน
  • การเปลี่ยนผ้าเบรกที่ล้อหลัง

  • ภาพนี้เป็นล้อหลังซ้าย ไม่มีตัวเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก
  • ใช้ประแจแอลถอดน๊อตยึดคาลิเปอร์ 2 ตัวออก (มีจุกยางปิดไว้เช่นเดียวกับเบรกหน้า)
  • ถอดสปริงคลิปล็อกกันผ้าเบรกสั่น ใช้ไขควงงัดออก
  • เอาคาลิเปอร์และผ้าเบรกออกมา
  • ผ้าเบรกล้อหลังซ้ายที่ถอดออกมา และสปริงคลิปล็อกกันผ้าเบรกสั่น
  • ชุดดิสก์เบรกของล้อหลังขวา
  • จะเห็นสายไฟเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก
  • ขั้นตอนต่อๆ ไปทำเช่นเดียวกับล้อหน้า
  • เช่น ดันกระบอกสูบดิสก์เบรกกลับให้มิด (อย่าลืมไปดูระดับน้ำมันเบรกที่กระปุกเติม อย่าให้ล้น)
  • ทำความสะอาด ขจัดฝุ่น
  • หลังจากนั้นก็ใส่แผ่นผ้าเบรกนอก-ใน
  • ใส่คาลิเปอร์ ขันน๊อตทุกตัว ทำย้อนรอยตอนถอด
  • ตรวจสอบการขันน๊อตทุกตัวให้แน่น
  • ตรวจดูระดับน้ำมันเบรกที่กระปุกน้ำมันสำรอง
  • ให้ได้ระดับพอดี ถ้าต่ำให้เติมเพิ่ม ถ้าเกินให้ดูดออก
  • ปิดฝากระปุกเติมน้ำมันเบรก เช็ดทำความสะอาด
  • ทดลองติดเครื่องยนต์ เหยียบเบรกทดสอบอยู่กับที่
  • ต้องไม่ปรากฏสัญญาณไฟเตือน BRAKE LININGS
  • ทดลองวิ่งและเหยียบเบรกทดสอบ เบรกเบาๆ ประมาณ 4 - 5 ครั้ง ต้องเบรกอยู่และไม่มีเสียงดัง


    งาน DIY ของเราก็สำเร็จไปอีก 1 รายการ

    ผมเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อ 07/10/2006

  • แม้ว่าระบบเบรกในรถจะสมบูรณ์ดีแล้ว ยังมีสภาพภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการเบรก เช่น สภาพของยาง สภาพของถนน ความเร็วของรถ และการตัดสินใจของผู้ขับรถ เป็นองค์ประกอบที่จะทำให้สามารถหยุดรถอย่างปลอดภัยตามระยะที่ต้องการได้หรือไม่ ข้อสำคัญมากๆ คือขับรถต้องระมัดระวัง มีสติครบถ้วน และไม่ประมาท ... ครับ



    เสร็จแล้ว ลองวิ่งทดสอบดู ทดลองเหยียบเบรกเบาๆ ก่อน เพื่อให้เบรกปรับหน้าสัมผัสสนิทกับจาน
    เมื่อเบรกเข้าที่ดีแล้ว ใช้งานไปทางไกล หรือวิ่งในเมือง มั่นใจและหายห่วงเรื่องเบรก .....ไปได้เลยละครับ






    ตอบข้อสงสัย ........

    ถาม ในการเปลี่ยนผ้าเบรก จำเป็นต้องเจียร์จานเบรกด้วยหรือไม่ ... ?
    ตอบ การเจียร์มีข้อเสียคือจะทำให้จานเบรกบางลง แต่ก็มีข้อดีคือผ้าเบรกจะจับหน้าจานเต็มพื้นที่ ประสิทธิภาพเบรกจะดีขึ้น เบรกจะอยู่ดีกว่าไม่เจียร์ ท่านผู้อ่านพิจารณาเองครับว่ารถของท่านสมควรเจียร์หรือไม่ (การเปลี่ยนผ้าเบรกครั้งนี้ของผมไม่ได้เจียร์ เพราะดูสภาพแล้วผิวจานเบรกเรียบดี เปลี่ยนคราวหน้าค่อยว่ากันใหม่)

    ถาม ในการเปลี่ยนผ้าเบรก จำเป็นต้องไล่ลมเบรกหรือไม่ ... ?
    ตอบ ถ้าเปลี่ยนผ้าเบรกเฉยๆ ไม่จำเป็น เพราะเราไม่ได้ไปยุ่งกับระบบน้ำมันเบรก แต่ถ้ามีการซ่อมเกี่ยวกับท่อเบรก ลูกสูบดิสก์เบรก แม่ปั๊มเบรก หรือเปิดระบบน้ำมันเบรกจนมีฟองอากาศปนอยู่ในน้ำมันเบรก (หรืออาการเบรกไม่ค่อยอยู่ เหยียบแป้นเบรกแล้วหยุ่นๆ ไม่มีกำลัง ต้องเหยียบซ้ำ 2 - 3 ครั้งจึงจะอยู่) แบบนี้จำเป็นต้องไล่ลม (ฟองอากาศ) ออกจากระบบให้หมดด้วย ... นะครับ






       แถม ... ท้ายเพจนี้ ด้วยตัวอย่างผ้าเบรก แบบใช้เซนเซอร์ส่งเสียง จี๊ด ... เตือนผ้าเบรกสึก

    • ผ้าเบรกบางยี่ห้อ เขาใช้แผ่นโลหะบางๆ ใส่ไว้กับผ้าเบรก พอผ้าเบรกสึกมากเข้า แผ่นโลหะจะเสียดสีกับจานเบรกดัง "จี๊ด .... จี๊ด ...." เป็นการเตือนว่าผ้าเบรกหมด ไม่ต้องตกใจ .... เขาใช้เซนเซอร์ แบบเสียงจี๊ดเตือน ซึ่งถ้าเราปิดกระจกรถหมด มักไม่ค่อยได้ยิน เพื่อนบ้านของเราเขารำคาญ จะตะโกนบอกเราว่าผ้าเบรกหมด ไปเปลี่ยนได้แล้ว .... คร๊าบ


    • ภาพขวา เป็นผ้าดิสก์เบรก ของ TOYOTA MARK II
    • ดูที่ศรชี้ เป็นเหล็กสปริงเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก
    • เมื่อผ้าเบรกสึกมาก จนถึงเหล็กสปริง มันจะสีกับจานดิสก์เบรกส่งเสียง จี๊ด .....
    • ภาพนี้ เป็นผ้าดิสก์เบรก ของ MITSUBISHI LANCER
    • ที่ศรชี้ เป็นสปริงเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก
    • พลิกดูด้านผ้าเบรก
    • สังเกตตรงวงกลม ปลายโลหะสปริงตรงนี้ที่จะส่งเสียง
    • เมื่อผ้าเบรกสึกบางจนถึงแผ่นโลหะสปริง
    • จะทำให้โลหะสปริงเสียดสีกับจานดิสก์เบรก
    • ส่งเป็นเสียงเตือนผู้ขับขี่ให้รับทราบ


      เสียง จี๊ด .. จี๊ด .. นี่แหละที่ผมเรียกว่า ...
      "เซนเซอร์เตือนผ้าเบรกสึก แบบส่งเสียงจี๊ด ..... "


      เป็นความรู้เสริม นะครับ ...... รู้ไว้ ใช่ว่า ....





    Homepage of Associate Professor BOONCHAT NETISAK
    Copyright © by BOONCHAT NETISAK, All Rights Reserved.


    [ BMW E34 DIY MAIN MENU ]