BMW 525i (E34) DIY
Do it yourself by GRANDFATHER (Assoc.Prof. Boonchat Netisak)

การเปลี่ยนเรกุเลเตอร์แรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง
Fuel Pressure Regulator Replace
l l MAIN MENU โดย คุณปู่ บุญชัด เนติศักดิ์ l

(D.I.Y. เรื่องที่ 107)

      การเปลี่ยนเรกุเลเตอร์แรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง BMW E34 (เครื่องยนต์ M50)
      Fuel Pressure Regulator Replace (M50 Engine)

    เรกุเลเตอร์แรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง อาจเรียกสั้นๆ ว่า "ตัวกักแรงดันน้ำมัน" ทำหน้าที่ควบคุมแรงดันน้ำมันเบนซินในรางหัวฉีดให้มีแรงดัน(เกือบจะ)คงที่ตามค่ามาตรฐานที่หัวฉีดต้องการ เครื่องยนต์ M50 มีค่าแรงดัน 3.5 บาร์ (หรือ 51 psi.) หากมีแรงดันน้ำมันสูงเกินก็จะระบายให้ไหลกลับคืนถังน้ำมัน

    เครื่องยนต์ M50/M50tu = 3.5 bar (51psi)
    เครื่องยนต์ M20/M30 = 3 bar (43.5 psi)

    ที่ตัวเรกุเลเตอร์จะมีท่อสายสุญญากาศ (Vacuum) ต่อเข้ากับท่อไอดี ท่อนี้ขนาดเล็กรับแรงดูดหรือค่าสุญญากาศจากท่อไอดี เพื่อควบคุมแรงดันน้ำมันให้สัมพันธ์กับการเร่งเครื่องยนต์อย่างอัตโนมัติ หากสายนี้หลุด ขาด อาจทำให้รอบการเดินเบาของเครื่องยนต์ มีปัญหาได้

    ระบบเชื้อเพลิงมีปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในถังน้ำมันด้านหลังรถ ดูดน้ำมันขึ้นมาปั๊มให้มีแรงดันสูงส่งไปตามท่อ เข้ารางหัวฉีด เพื่อเตรียมพร้อมรอไว้ให้หัวฉีดทั้ง 6 หัว ฉีดน้ำมันเข้ากระบอกสูบเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน ที่ตรงปลายรางหัวฉีด หลังสูบที่ 6 มีตัวเรกุเลเตอร์ติดตั้งไว้เพื่อกักแรงดันน้ำมันไว้

    ตัวเรกุเลเตอร์ที่ดี ต้องกักแรงดันของน้ำมันในรางหัวฉีดไว้ได้อย่างดี ไม่ให้มีแรงดันสูงเกินไป ไม่ให้มีการรั่วซึม และไม่ให้แรงดันน้ำมันลดลง แม้ดับเครื่องยนต์ไว้นานหลายชั่วโมง หรือหลายวัน แรงดันน้ำมันก็ยังคงอยู่อย่างพอเพียงตามค่ามาตรฐาน ให้เราสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้อย่างง่าย โดยการสตาร์ทเพียงครั้งเดียว

    ถ้าเรกุเลเตอร์เริ่มเสื่อม จะเก็บกักแรงดันน้ำมันไว้ไม่ได้ พอเราดับเครื่อง ปั๊มเบนซินหยุดทำงาน น้ำมันในรางหัวฉีดสามารถรั่วซึมกลับถังได้ แรงดันน้ำมันในรางหัวฉีดจะลดต่ำลง ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่เครื่องยนต์ต้องการ เมื่อสตาร์ทรถอีกครั้งหลังดับเครื่องจะไม่ติดทันที อาจต้องบิดกุญแจสตาร์ทรถลากยาว 2-3 ครั้ง รอจนปั๊มเบนซินส่งแรงดันน้ำมันได้สูงพอจึงจะติด

    ถ้าดับเครื่องไว้ แล้วตอนจะติดเครื่องใหม่อีกที ต้องสตาร์ทหลายครั้ง ลากยาว เป็นแบบนี้ประจำ ถ้าอาการเบาจะเป็นเมื่อสตาร์ทหลังดับเครื่องไว้นาน ถ้าอาการหนักดับเครื่องไว้ไม่กี่นาทีมาสตาร์ทใหม่ก็ต้องบิดกุญแจลากยาวหลายที จึงจะติด แบบนี้คือสิ่งบ่งบอกว่าตัวเรกุเลเตอร์เสื่อมหรือเสียแล้ว (กรณีระบบอื่นที่เกี่ยวข้องทำงานปกติ และระบบไฟจุดระเบิดทำงานปกติ)

    ก่อนจะสรุปว่าตัวเรกุเลเตอร์เสีย และจะต้องเปลี่ยน เราเป็นช่างสมัครเล่น แบบ DIY ต้องตรวจสอบอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในระบบน้ำมันทุกตัวว่าทำงานได้ปกติ เช่น ปั๊มเบนซิน ข้อต่อท่อน้ำมันทุกจุดจนแน่ใจว่าไม่มีรั่วซึมแล้วเท่านั้น อาจต้องใช้การสังเกตของเจ้าของรถเป็นระยะเวลาพอสมควร

    วิธีที่จะช่วยตรวจสอบ ว่าตัวเรกุเลเตอร์แรงดันน้ำมันเสียหรือไม่ แบบช่างซ่อมมืออาชีพ ที่เป็นวิทยาศาสตร์หน่อย จะต้องใช้เกจวัดแรงดัน (Pressure Gauge) ต่อเข้าในระบบแรงดันน้ำมันที่เข้ารางหัวฉีด เพื่อวัดค่าแรงดันน้ำมันปกติขณะเครื่องยนต์ทำงาน เทียบกับแรงดันตอนที่ดับเครื่อง ทิ้งระยะเวลาไว้ช่วงหนึ่ง เพื่อดูค่าแรงดันที่เปลี่ยนแปลง ใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ การสรุปว่าเสียหรือไม่ก็จะง่ายและใช้เวลาไม่นาน

    รถของปู่ไม่มีเกจวัดแรงดันน้ำมันเบนซิน จึงใช้การสังเกตจากการสตาร์ที่ต้องลากยาวบ่อยๆ กลัวเวลาไปไกลๆ แล้วสตาร์ทไม่ติดจะลำบาก และได้ตรวจเปลี่ยนสายยางน้ำมันและปั๊มเบนซินใหม่หมดแล้ว ตัวที่มีอายุมากที่สุดในระบบคือเรกุเลเตอร์ ดังนั้นจึงสรุปว่าจะต้องเปลี่ยนตัวเรกุเลเตอร์

    หลังการเปลี่ยนเรกุเลเตอร์แรงดันน้ำมัน การสตาร์ทรถ BMW E34 ของปู่ก็เป็นไปตามปกติ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สตาร์ทบิดกุญแจครั้งเดียวก็ติดทันที

    ..... สรุปว่า งานนี้ ซ่อมถูกที่ เปลี่ยนชิ้นส่วนถูกตัวแล้ว แต่....ไม่ค่อยจะถูก กะ...ตังค์ เลยนะ จ๊ะ...พับเผื่อย


    ลองติดตามอ่าน DIY เพจนี้ดู ได้ลงรูปและเนื้อหาไว้อย่างละเอียดแล้ว



      อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง >>>
    1. การเปลี่ยนท่อเบนซิน
    2. ตอนเช้า..เหม็นกลิ่นเบนซิน...แก้อย่างไร
    3. ท่อเบนซินแตก .... น้ำมันไหลนองพื้น
    4. การตรวจซ่อมบำรุงระบบส่งน้ำมันเบนซิน
    5. การเปลี่ยนปั๊มน้ำมันเบนซิน (ปั๊มติ๊ก) BMW E34 Fuel Pump Replacement.


   No problem, We can do, Please continue ............ this DIY.
   [upLoad on 01/09/2015]



ภาพประกอบขั้นตอนการซ่อม


  • เมื่อเปิดแผ่นปิดบนเครื่องยนต์ออก จะพบรางหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงพาดยาวบนเครื่องยนต์
  • ตำแหน่งของเรกุเลเตอร์แรงดันน้ำมันและท่อน้ำมันไหลกลับถัง
  • เรกุเลเตอร์แรงดันน้ำมันตัวใหม่
  • มีปั๊มอักษรว่า ทำในประเทศเยอรมัน
  • ด้านข้างปั๊มอักษรบอกแรงดัน 3.5 บาร์ (ต้องดูให้ตรงกับแรงดันที่เครื่องยนต์ต้องการ ตอนที่เราซื้อ บอกผู้ขายว่าต้องการกี่บาร์ ใช้กับเครื่องยนต์รุ่นไหน ซื้อแล้วต้องตรวจอีกทีกันพลาด)
  • ก่อนจะถอดรางหัวฉีด เราต้องถอดท่อน้ำมันและท่อหายใจออก ใช้ผ้ารองซับน้ำมันที่ไหลออก
  • เมื่อถอนรางหัวฉีดขึ้น จะมีหัวฉีดทั้ง 6 หัวติดขึ้นมาด้วย
  • ตัวเรกุเลเตอร์อยู่สุดราง
  • รายละเอียดชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง
  • ดูให้ชัดๆ หาทางถอดตัวเรกุเลเตอร์
  • มีสปริงคลิป 1 ตัว ใช้คีมบีบออก
  • การถอดตัวเรกุเลเตอร์ออกจากเบ้า อาจจะถอดยากหน่อย มันแน่นมาก
  • หัวฉีดตัวที่ 6 อาจต้องถอดออกก่อน ไม่ให้เกะกะ แล้วใช้คีมจับตัวเรกุเลเตอร์ให้หมุนขยับไปซ้ายที ไปขวาที พร้อมกับขยับดึงออกมา ใช้แรงมากหน่อย
  • ก่อนที่จะใส่ตัวเรกุเลเตอร์ ต้องตรวจเบ้าให้เรียบร้อย แต่งให้กลม ไม่ให้บิดเบี้ยว
  • ใส่เรกุเลเตอร์ตัวใหม่ลงในเบ้า จุ่มน้ำมันเบนซินให้ยางโอริงนิ่มก่อนใส่ หรือจะใช้น้ำมันเครื่องลูบที่โอริงก็ได้ กดลงในเบ้า ล็อกด้วยสปริงคลิป
  • แถมนิดน่อย .... ตรวจดูสภาพหัวฉีด ที่รูฉีดควรใสสะอาด ล้างด้วยเบนซินซะหน่อย ก็ดีนะครับ



    • สรุปขั้นตอนการเปลี่ยนเรกุเลเตอร์แรงดันน้ำมัน (ต้องซื้อเรกุเลเตอร์ตัวใหม่มาเตรียมพร้อมไว้ ดูค่าแรงดันให้ตรงกับของเดิม)

      1. ถอดท่อน้ำมันที่เข้า - ออก รางหัวฉีดออก เอาผ้ารองซับน้ำมันเบนซินที่ไหลออก
      2. ถอดโบลต์ยึดรางหัวฉีด เบอร์ 10 จำนวน 2 ตัว
      3. ถอดสายกราวด์ที่หัวเครื่องยนต์ ตรงวาวล์โน๊สออก แล้วดึงสายยางท่อหายใจออก
      4. ถอดรางหัวฉีด โดยยกรางหัวฉีดขึ้นพร้อมกับรางสายไฟ แต่มันจะไม่ออกมาง่าย หัวฉีดแต่ละหัวแน่นมาก อาจต้องใช้ไม้เช่นด้ามค้อนช่วยงัดรางขึ้น หัวฉีดทั้งหมดจะถูกถอนติดขึ้นมาพร้อมกับราง
      5. แงะคลิปรัดปลั๊กสายไฟของหัวฉีดออกทั้ง 6 ตัว แล้วดึงรางสายไฟแยกออกจากรางหัวฉีด
      6. ดึงสายยางสุญญากาศที่ตัวเรกุเลเตอร์ออก ขณะนี้รางหัวฉีดจะเป็นอิสระ เอาออกมาได้
      7. เพื่อความสะดวกในการถอดเรกุเลเตอร์ ควรถอดหัวฉีดตัวที่ 6 ออกจากราง หัวฉีดตัวอื่นไม่ต้องถอด
      8. ที่ตัวเรกุเลเตอร์มีสปริงคลิปล็อกไว้ ใช้คีมบีบถอดสปริงคลิปออก
      9. ถอดเอาตัวเรกุเลเตอร์ออกจากเบ้า (ซึ่งยากมาก เพราะมันแน่นมาก มียางโอริง 2 ตัว อัดแน่นอยู่ในเบ้า กันน้ำมันแรงดันสูงไม่ให้รั่ว) ใช้คีมจับค่อยๆ หมุนตัวเรกุเลเตอร์ให้ขยับไปซ้าย ขยับไปขวา แล้วขยับดึงออก ระวังอย่าให้ขอบเบ้าเสียหาย ตัวเรกุเลเตอร์ตัวเก่าบุบเสียหายบ้างก็ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเสียดาย เพราะย้งไงก็จะทิ้งแล้ว
      10. เอาเรกุเลเตอร์ตัวใหม่จุ่มน้ำมันเบนซินให้ยางโอริงนิ่มก่อน แล้วดันลงไปในเบ้า จัดทิศทางของท่อสุญญากาศให้ตรงตำแหน่งเดิม ดันตัวเรกุเลเตอร์ลงในเบ้าให้ลึกสุด แล้วล็อกด้วยสปริงคลิป ดูให้ดีด้วย สปริงคลิปมีเขี้ยวล็อก 3 เขี้ยว ตรวจให้ลงร่องทั้ง 3 เขี้ยว (กรณีเบ้าเบี้ยว เสียรูป ไม่กลม ให้แต่งเบ้าให้ดีก่อน)
      11. ใส่ทุกอย่างกลับเข้าที่เดิม ทำย้อนตอนถอด การเสียบปลั๊กสายไฟของรางสายไปเข้ากับหัวฉีด ให้ใส่ลวดล็อกให้เข้าที่บนปลั๊กให้ครบทุกตัวก่อน แล้วจึงค่อยๆ จ่อปลั๊กรางสายไฟและหัวฉีดให้ตรงกัน ดันปลั๊กรางสายไฟเสียบเข้ากับปลั๊กของหัวฉีดทุกตัวพร้อมๆ กัน มันจะลงล็อกพอดี ตรวจกดปลั๊กทุกตัวให้ล็อก
      12. ใส่ท่อน้ำมัน ขันสกรูรัดเข็มขัด ตรวจเช็ครั่วซึม ใส่สายสุญญากาศที่ตัวเรกุเลเตอร์ ขันโบลต์ต่อสายกราวด์ที่หัวเครื่องยนต์
      13. ทดลองติดเครื่องยนต์ (โหมดน้ำมันเบซิน) ดับเครื่องยนต์ทื้งไว้ 2-3 ชั่วโมง ลองติดเครื่องอีกครั้ง ควรบิดกุญแจสตาร์ทครั้งเดียวติด ลองดับเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 1 คืน รุ่งเช้ามาสตาร์ท ควรบิดกุญแจสตาร์ทครั้งเดียวติด ไม่ต้องลากยาว จึงจะถือว่าดี เป็นปกติ

        มีธุระไปไหน จอดรถทิ้งไว้นานเป็นสัปดาห์ กลับมาสตาร์ทรถอีกที ไม่ต้องตั้งนะโม 3 จบ นะครับ ครั้งเดียวติดเลย แบบนี้สบายใจ



        หมายเหตุ

        เปลี่ยนเมื่อ 20 / 06 / 2013 ที่ระยะทาง 179,695 km.



        อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง >>>
      1. การเปลี่ยนท่อเบนซิน
      2. ตอนเช้า..เหม็นกลิ่นเบนซิน...แก้อย่างไร
      3. ท่อเบนซินแตก .... น้ำมันไหลนองพื้น
      4. การตรวจซ่อมบำรุงระบบส่งน้ำมันเบนซิน
      5. การเปลี่ยนปั๊มน้ำมันเบนซิน (ปั๊มติ๊ก) BMW E34 Fuel Pump Replacement.




    ขอให้ทุกท่านโชคดี ...........ขับขี่รถ ปลอดภัย ทุกสถานการณ์
    มีความสุข ในชีวิต และ ในการ D.I.Y. BMW E34 นะครับ





    Homepage of GRANDFATHER : Assoc.Prof.BOONCHAT NETISAK
    Copyright © by BOONCHAT NETISAK, All Rights Reserved.


    [ BMW E34 DIY MAIN MENU ]